FIN TECH: เทคโนโลยีเปลี่ยนโลกทางการเงิน
- OST Washingtondc
- 2 days ago
- 1 min read
“Fintech” ชื่อเรียกติดหูที่มีชื่อเต็มมาจาก Financial Technology หรือเทคโนโลยีทางการเงิน ซึ่งอธิบายง่ายๆ ก็คือ เทคโนโลยีที่ถูกพัฒนาเพื่อใช้ยกระดับการบริการทางการเงิน คำว่า Fintech เข้ามาได้รับความนิยมในช่วงศตวรรษที่ 21 แต่ในความเป็นจริงแล้ว ฟินเทคได้มีการถูกใช้ในการบริการทางการเงินมานานกว่าศตวรรษ ในปัจจุบัน หากเราพูดถึงเทคโนโลยีทางการเงิน อาจรวมถึง สกุลเงินดิจิทัล หรือ Cryptocurrency และธนาคารสตาร์ทอัพ โดยมีรากฐานจากช่วงปลายศตวรรษที่ 19 เมื่อสถาบันทางการเงินสามารถให้บริการเคลื่อนย้ายเงินด้วยโทรเลขและรหัสมอร์ส (Morse code) โดยในปี 2019 มีการลงทุนในธุรกิจ Fintech กว่า 137.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าหลายบริษัทต่างก็มุ่งพัฒนาเทคโนโลยีทางการเงินนี้ Fintech ถูกพัฒนาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริการทางการเงิน ลดต้นทุน เพิ่มความสะดวกและรวดเร็ว ตลอดจนยกระดับความปลอดภัยในด้านการเงิน ฟินเทคยังมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนการเติบโตของสถาบันทางการเงิน โดยเทคโนโลยีนี้ช่วยให้สถาบันทางการเงินสามารถให้บริการได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทั้งการโอนเงิน ตลอดจนด้าน customer service ผ่านแชทบอทแทนการติดต่อผ่านพนักงานประจำในเวลาทำการ วิธีนี้ยังช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านการดำเนินงานของสถาบันการเงินต่างๆ ในขณะเดียวกันก็ช่วยให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงบริการสำคัญต่างๆ ได้ตลอด 24 ชั่วโมง
“ฟินเทค” เป็นคำที่ครอบคลุมถึงบริการในยุคดิจิทัลใหม่ที่เกิดขึ้น เช่น:
1. Mobile payments : การชำระค่าสินค้าหรือบริการในยุคดิจิทัลที่ผู้บริโภคในยุคปัจจุบันคุ้นเคยเป็นอย่างยิ่งนั่นก็คือ Apple Pay หรือ Google Pay หรือแม้แต่บริการโอนเงินผ่านแอปพลิเคชันอย่าง PayPal หรือ Venmo การบริการทางการเงินเหล่านี้ได้รับความนิยมในทั่วโลก
2. Digital banks: ในอดีตการจัดทำงบประมาณหรือการทำบัญชีรายจ่าย เรามักจะนิยมใช้ spreadsheet ในโปรแกรมยอดนิยมอย่าง Excel แต่ในปัจจุบันความสะดวกสบายและเทคโนโลยีที่เปลี่ยนไปทำให้ธนาคารดิจิทัลเข้ามามีบทบาทสำคัญต่ออุตสาหกรรมธนาคาร ฟินเทคเข้ามาเปลี่ยนแปลงความคาดหวังของผู้บริโภคที่มีต่อธนาคารแบบดั้งเดิมอย่างสิ้นเชิง โดยผู้บริโภคสามารถทำธุรกรรมทางการเงินผ่านแอปพลิเคชันบนสมาร์ทโฟนได้ตลอดเวลาและจากทั่วทุกมุมของโลก
3. Insurance: Insurtech หรือเทคโนโลยีประกันภัย เทคโนโลยีทำให้เบี้ยประกันภัยถูกคำนวณโดยอัตโนมัติ ปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์อย่าง telematics (กล่องดำ) ให้บริการแก่ผู้ขับขี่ที่อายุน้อยหรือไม่มีประสบการณ์ เพื่อติดตามพฤติกรรมและความเสี่ยงในการขับขี่ และใช้เป็นข้อมูลพิจารณาปรับเบี้ยประกันภัยรถยนต์ให้เหมาะสม หลายบริษัทได้เปลี่ยนแปลงวิธีการซื้อและใช้ประกันภัยของผู้บริโภคมาเป็นรูปแบบออนไลน์ เพื่อความสะดวกและการเข้าถึงการใช้งานได้ง่ายมากขึ้น
4. Cryptocurrency: บิตคอยน์ เป็นหนึ่งในตัวอย่างของ cryptocurrency ซึ่งเป็นหนึ่งในรูปแบบของเงินดิจิทัลหรือเงินระบบอิเล็กทรอนิกส์ ไม่มีการใช้ธนบัตรหรือเหรียญจริง และกำลังเป็นกระแสที่นักลงทุนให้ความสนใจ และจับตามองอนาคต แม้ว่าจะมีกระแสด้านลบและยังเป็นที่ถกเถียงถึงความปลอดภัยและความมั่นคงของสกุลเงินดิจิทัลนี้ แต่ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาการลงทุนใน cryptocurrency พุ่งสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์
5. Blockchain: บล็อกเชน คือเทคโนโลยีการเก็บบันทึกข้อมูลในรูปแบบ “block” โดยการเชื่อมต่อกันเป็นสายโซ่ ถ้าพูดให้เข้าใจง่าย ๆ บล็อกเชน คือโครงสร้างข้อมูลที่ใช้บันทึกธุรกรรม โดยมีคุณสมบัติเด่นด้านความปลอดภัยสูง ความโปร่งใส และเชื่อถือได้ โดยบล็อกเชนถูกเก็บไว้ในหลายที่ (nodes) ทั่วทั้งเครือข่ายของบล็อกเชนนั้น สามารถตรวจสอบธุรกรรมย้อนหลังได้ และเมื่อข้อมูลถูกบันทึกไปแล้วจะไม่สามารถแก้ไขได้
6. Crowdfunding platforms: แพลตฟอร์มระดมทุนสาธารณะ ยกตัวอย่างเว็บไซต์ที่เป็นที่รู้จักในการระดมทุนสาธารณะที่สามารถทำได้จากทุกมุมโลกได้แก่ GoFundMe แพลตฟอร์มในการใช้ระดมทุนช่วยเหลือด้านสังคมและเหตุฉุกเฉิน และ Kickstarter แพลตฟอร์มในการสนับสนุนสินค้าหรือไอเดียใหม่ๆ ซึ่งสองแพลตฟอร์มนี้ช่วยให้สตาร์ทอัพไม่จำเป็นต้องขอเงินลงทุนผ่านธนาคารด้วยวิธีการดั้งเดิม อีกทั้งยังช่วยให้เข้าถึงนักลงทุนได้โดยตรง

การให้บริการด้านเทคโนโลยีทางการเงินยังรวมถึง:
1. Digital banks: ธนาคารถือเป็นหัวใจสำคัญของระบบการเงิน การเปลี่ยนแปลงการบริการหรือผลิตภัณฑ์สู่ระบบดิจิทัลจึงส่งผลต่อผู้บริโภคและภาคธุรกิจอย่างชัดเจน ซึ่งธนาคารฟินเทคเข้ามามีบทบาทสำคัญในเส้นทางดิจิทัลของภาคการเงินผ่านนวัตกรรมต่างๆ ด้านความปลอดภัย เช่น การยืนยันตัวตนที่ปลอดภัยขึ้น การใช้บล็อกเชนสำหรับการทำธุรกรรมที่ซับซ้อน รวมถึงช่วยให้เกิดสตาร์ทอัพใหม่ อย่าง Varo Offer ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มให้บริการทางการเงินเต็มรูปแบบออนไลน์ผ่านแอปพลิเคชัน
2. Digital payments: ในชีวิตประจำเราต่างก็มีการใช้จ่าย ซึ่งในอดีตเวลาเราซื้อสินค้าหรือบริการ เราจะพกเงินสดสำหรับจ่ายค่าสินค้าและบริการนั้น ๆ ในปัจจุบันเทคโนโลยีฟินเทคเข้ามารองรับการใช้จ่ายผ่านระบบดิจิทัลทั้งหมด และรวมถึงการให้บริการของบริษัททางการเงินต่างๆ เช่น การจ่ายเงินเดือน ภาษี และบัญชี เป็นต้น
3. Personal finance: การเงินส่วนบุคคล หรือการจัดการการเงินส่วนบุคคล (Personal finance management, PFM) เป็นชื่อที่ใช้เรียกการให้บริการช่วยจัดการงบประมาณ ออมทรัพย์ และวางแผนสำหรับการเกษียณ โดยมีหลายบริษัทฟินเทคสตาร์ทอัพ เช่น Dave และ WealthSimple ซึ่งเป็นบริษัทที่ปรึกษาและแนะนำผู้บริโภคด้านการเงิน การลงทุน ผ่านเครื่องมือที่ช่วยให้ผู้บริโภค ถึงเป้าหมายด้านการเงินที่ตั้งไว้
4. Investing: ผลิตภัณฑ์และการบริการของฟินเทคครอบคลุมด้านการจัดการสินทรัพย์ การลงทุน โดยมีแพลตฟอร์มที่เป็นที่นิยม เช่น Robinhood และ Atom Finance ที่เป็นเครื่องมือในการช่วยผู้ใช้บริการซื้อ-ขายหุ้นผ่านโทรศัพท์มือถือได้
5. Lending: การให้บริการสินเชื่อบ้านผ่านแพลตฟอร์มอย่าง Rocket Mortgage หรือ SoFi เป็นหนึ่งในตัวอย่างของฟินเทคที่ผู้ใช้สามารถขอรับบริการสินเชื่อผ่านทางออนไลน์ โดยไม่จำเป็นเข้าไปยังธนาคารด้วยตนเอง ซึ่งให้ความสะดวกสบายต่อผู้ใช้บริการมากขึ้น
สามารถอ่านหัวข้ออื่นๆ ได้แก่
จุดกำเนิดของฟินเทค
วิวัฒนาการของระบบการชำระเงินและการโอนเงิน
เทคโนโลยีภายหลังการปฏิวัติ
เทคโนโลยีหลักที่ขับเคลื่อนฟินเทค
ความท้าทายของฟินเทค
ภาพรวมตลาดและเทรนด์ของภาคธุรกิจฟินเทค
การเติบโตของอุตสาหกรรมฟินเทคในอดีตและปัจจุบัน
อาชีพในอุตสาหกรรมฟินเทค
อนาคตของฟินเทค (Future of Fintech)

สามารถติดตามวารสารข่าวรายเดือนได้จาก https://www.ohesdc.org/utmostsciences
Comments