top of page

The Willow Project: โครงการขุดเจาะน้ำมันในอะแลสกา กับกระแสต้อต้านจากนักเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อม

รัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ได้รับเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก หลังจากที่ได้อนุมัติ ‘โครงการวิลโลว์’ (Willow Project) ให้เดินหน้าต่อไปได้ เมื่อกลางเดือนมีนาคม 2566 ส่งผลให้ประธานาธิบดีไบเดนต้องเผชิญกับกระแสต่อต้านจากบรรดานักเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อมจำนวนไม่น้อยทั้งในโลกออฟไลน์และออนไลน์ ซึ่งการอนุมัติ ‘โครงการวิลโลว์’ ครั้งนี้อาจเป็นบ่อนทำลายความพยายามของสหรัฐฯ ในการรณรงค์ให้เลิกใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลทั่วโลก



โครงการวิลโลว์คืออะไร

วิลโลว์เป็นโครงการขุดเจาะน้ำมันและก๊าซธรรมชาติขนาดใหญ่ในรัฐอลาสกาของสหรัฐฯ ที่ผลักดันและพัฒนาโดยบริษัทชั้นนำด้านพลังงานอย่าง ConocoPhillips ซึ่งได้เริ่มสำรวจค้นหาแหล่งพลังงานในรัฐอลาสกามานานกว่า 50 ปี โดยเช่าพื้นที่ส่วนแรกในแถบตะวันออกเฉียงเหนือของแหล่งน้ำมันสำรองแห่งชาติในรัฐอลาสกา (National Petroleum Reserve-Alaska: NPR-A) ตั้งแต่ปี 2542 ซึ่งเรียกพื้นที่ดังกล่าวนี้ว่า Bear Tooth Unit (BTU) พื้นที่นี้ได้รับการยอมรับเป็นครั้งแรกโดยประธานาธิบดี Warren G. Harding ในปี 2466 และถูกกำหนดโดยเฉพาะสำหรับการพัฒนาน้ำมันและก๊าซโดย Naval Petroleum Reserves Production Act ในปี 2519 ซึ่งกฎหมายได้กำหนดกฎพิเศษสำหรับการสกัดน้ำมันและก๊าซและป้องกันพื้นที่บางส่วนเพื่อ “การปกป้องสูงสุด” ของสิ่งแวดล้อม


ในปี 2561 บริษัทขออนุญาตเดินหน้าโครงการกับหน่วยงานด้านการจัดการที่ดิน เพื่อก่อสร้างแท่นขุดเจาะ 5 แท่น พร้อมขุดบ่อน้ำมันอีก 50 หลุม มีบ่อรวมไม่เกิน 250 หลุม รวมถึงก่อสร้างโครงสร้างขั้นพื้นฐานต่างๆ เพื่ออำนวยความสะดวกในการขุดเจาะพลังงาน นอกจากนี้ ConocoPhillips เคยคาดการณ์ว่าโครงการวิลโลว์นี้จะช่วยสร้างตำแหน่งงานใหม่กว่า 2,800 ตำแหน่ง รวมถึงผลิตน้ำมันได้สูงสุดราว 180,000 บาร์เรลต่อวัน และสร้างผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจได้มากกว่า 8.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ


ในช่วงของรัฐบาลโดนัลด์ ทรัมป์ ปี 2563 ได้อนุมัติโครงการวิลโลว์ ต่อมาศาลคัดค้านใบอนุญาต ด้วยเหตุผลว่าโครงการไม่ได้วิเคราะห์การปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากต่างประเทศอย่างถูกต้อง ไม่เข้าใจเกี่ยวกับสิทธิของผู้ถือสัญญาเช่า เเละไม่พิจารณาตามข้อกำหนดของกฎหมายว่าด้วยการผลิตน้ำมันสำรอง ในเขตพื้นที่พิเศษในรัฐอลาสกา โดยล่าสุด มีการปรับลดแท่นขุดเจาะให้เหลือ 3 แท่น เเละได้รับการอนุมัติให้ดำเนินต่อไปได้เมื่อวันที่ 13 มีนาคมที่ผ่านมา


ทำไมโครงการวิลโลว์จึงถูกต่อต้านจากนักสิ่งแวดล้อม

หน่วยงานด้านการจัดการที่ดินของสหรัฐฯ คาดการณ์ว่า โครงการวิลโลว์จะผลิตก๊าซคาร์บอนไดซ์ออกไซด์มากถึง 278 ล้านเมตริกตันในช่วง 30 ปีตามอายุของโครงการ ซึ่งเทียบเท่ากับการเพิ่มจำนวนรถยนต์บนท้องถนนของสหรัฐฯ ปีละ 2 ล้านคัน


โดยบรรดานักเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อมต่างมองว่าการอนุมัติโครงการดังกล่าวนี้ไม่สอดคล้องกับคำมั่นสัญญาที่ไบเดนเคยประกาศไว้ว่า ตนจะเป็นผู้นำในการรับมือกับวิกฤตด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลก นอกจากนี้ การอนุมัติยังมีขึ้นหลังจากที่รัฐบาลไบเดนได้กำหนดเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่มีความทะเยอทะยานมากที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ อย่างการกำหนดเป้าหมายให้สหรัฐฯ ปล่อยก๊าซคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2593 รวมถึงลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลงครึ่งหนึ่งภายในทศวรรษนี้ เมื่อเทียบกับปี 2548


ทางด้าน Greenpeace ได้ประณามโครงการดังกล่าวไว้ว่าเป็นโครงการ ‘ระเบิดคาร์บอน’ (Carbon Bomb) ที่จะมีส่วนปล่อยก๊าซเรือนกระจกสู่ชั้นบรรยากาศโลกเพิ่มมากยิ่งขึ้น ผู้อำนวยการศูนย์พัฒนาที่ดินสาธารณะในสหรัฐฯ ชี้ว่า การอนุมัติดังกล่าวเป็นการกระทำที่ผิดพลาด เนื่องจากโครงการวิลโลว์เป็นภัยพิบัติด้านสภาพอากาศที่สร้างประโยชน์ต่ออุตสาหกรรมน้ำมัน แต่กลับผลักภาระและความเสี่ยงให้กับชุมชนท้องถิ่นและชนพื้นเมืองที่อยู่ท่ามกลางสภาพแวดล้อมอาร์กติกที่ค่อนข้างเปราะบางและอ่อนไหว


ผู้สื่อข่าวด้านสิ่งแวดล้อมของสำนักข่าว BBC วิเคราะห์ว่า สาเหตุสำคัญที่ทำให้ไบเดนตัดสินใจอนุมัติโครงการวิลโลว์นั้น อาจเป็นเพราะโครงการดังกล่าวนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเฉพาะประเด็นสิ่งแวดล้อม แต่ยังเกี่ยวข้องกับประเด็นทางด้านการเมืองและข้อกฎหมาย ซึ่งทำให้รัฐบาลไบเดนพยายามหาทางออกที่เป็นไปได้มากที่สุดท่ามกลางแรงกดดันจากทิศทางต่างๆ นั่นคือการอนุมัติโครงการดังกล่าว แต่ปรับลดขนาดและเพิ่มข้อจำกัดต่างๆ เพื่อหาจุดสมดุล


อย่างไรก็ตาม บรรดานักเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อมยังไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจของรัฐบาลไบเดน การต่อต้านโครงการนี้ มีจดหมายมากกว่าล้านฉบับที่ส่งถึงทำเนียบขาว คำร้อง Change.org ที่มีผู้ลงนามมากกว่า 3 ล้านคน และแคมเปญ #stopwillow แบบไวรัลบน TikTok รวมถึงโซเชียลมีเดียอื่นๆ เพื่อเรียกร้องให้ยุติโครงการวิลโลว์นี้ โดยหลายฝ่ายเชื่อว่ากรณีการอนุมัติโครงการขุดเจาะน้ำมันและก๊าซธรรมชาติในครั้งนี้จะส่งผลต่อคะแนนความนิยมของไบเดนในศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่จะเกิดขึ้นในปี 2567 ไม่มากก็น้อย



bottom of page