top of page

ไขปริศนาเรื่องผีๆ ด้วยวิทยาศาสตร์

ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่เราใช้ในชีวิตประจำวันเท่านั้น แต่ยังรวมถึงวิธีการคิดที่เป็นเหตุเป็นผล และดึงความรู้ในสาขาต่างๆ เข้ามาใช้ประกอบกับทฤษฎีหรือการทดสอบที่มีมาแต่เดิม


การมีอยู่ของสิ่งลี้ลับเหนือธรรมชาติจริง หรือจะเป็นเพียงความเชื่อเท่านั้น ได้มีการอธิบายและการทดสอบทางวิทยาศาสตร์อย่างต่อเนื่อง ซึ่งบางส่วนได้เริ่มมีเหตุผลสนับสนุนว่าเป็นผลพวงจากปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ หรือปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นภายในตัวมนุษย์เราเอง ไม่ได้เกิดจากคำสาปแช่งจากภูตผีแต่อย่างใด ซึ่งการทดสอบต่างๆ ยังไม่เป็นข้อสรุปที่แน่ชัดซะทีเดียว นักวิทยาศาสตร์ยังคงต้องค้นหาหลักฐานเพื่อสนับสนุนไม่ว่าผีจะมีจริง หรือเป็นเพียงกลไกของธรมชาติต่อไป ทั้งนี้ สถานการณ์ที่คนเราคิดว่ามีความเกี่ยวข้องกับผี นักวิทยาศาสตร์ได้มีการอธิบายไว้ เช่น



- ประสบการณ์เจอผี

เจอผี ประสบการณ์การสัมผัสกับสิ่งลี้ลับทั้งการเห็นภาพหลอน หรือได้ยินเสียงคนเรียก ในเชิงวิทยาศาสตร์ การเห็นภาพหลอน เป็นอาการประสาทหลอนที่เรียกว่า Hallucination หรือ เป็นการรับรู้ที่ผิดพลาด (False Perception) ทั้งที่ในความจริงไม่มีสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น สามารถเกิดขึ้นได้กับประสาทสัมผัสทั้งหมด แต่อาการที่พบบ่อยที่สุด คือ ภาพหลอนและการได้ยิน ซึ่งไม่ได้หมายถึงเรามีอาการทางจิตหรือมีอาการทางสมองที่ผิดปกติรุนแรง แต่เป็นอาการที่สามารถพบได้ในคนทั่วไป


การทำงานของสมองคนมีความสลับซับซ้อนมาก โดยปกติสมองจะสามารถแยกแยะระหว่างเสียงหรือภาพที่เกิดขึ้นในโลกภายนอกกับสิ่งที่เป็นผลจากจิตใจของเราได้ แต่บางครั้งสมองก็อาจทำงานผิดพลาด โดยอาการประสาทหลอนนี้ เกิดขึ้นเมื่อมีบางอย่างผิดปกติในการทำงานระหว่างกลีบสมองส่วนหน้าของสมองกับเยื่อหุ้มสมองรับรู้ความรู้สึก อาการที่เกี่ยวข้องกับความเชื่อในว่าเจอผีอีกประเภทที่พบบ่อย คือ อาการเห็นผิด หรือ Illusion ที่เกิดจากสมองแปลผลผิดจากเรื่องหรือสิ่งที่มีอยู่จริง หรืออธิบายง่ายๆ คือ เห็นของที่มีอยู่จริงเป็นอย่างอื่นที่บิดเบือนไปจากความจริง เช่น เห็นสายน้ำเกลือเป็นงู เป็นต้น


การเห็นภาพหลอน ยังสามารถเกิดขึ้นได้จากสภาวะที่สมองขาดออกซิเจน หรือ Cerebral anoxia ที่ทำให้ประสาทสัมผัสและการรับรู้ผิดเพี้ยนไปจากความเป็นจริง และเห็นภาพหลอนได้ง่ายอีกด้วย โดยเฉพาะกรณีของผู้ป่วยหนักขณะใกล้ตาย หรือในสถานที่ที่ถูกทิ้งร้างที่อากาศไม่ถ่ายเท อากาศเต็มไปด้วยเชื้อราอยู่มาก หรือสูดก๊าซที่เป็นพิษ เช่น ก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ ที่เคยมีกรณีผู้ที่รอดชีวิตจากเหตุคาร์บอนมอนอกไซด์เป็นพิษ มีอาการป่วยต่อไปหลังจากนั้นนานหลายปี ซึ่งสมองได้รับผลกระทบ ทั้งด้านความจำ ความคิด และพฤติกรรม ที่บ่อยครั้งมีรายงานว่าผู้ป่วยเห็นภาพหลอน ได้ยินเสียงแว่วต่างๆ ทั้งเสียงกระดิ่งและเสียงคนวิ่งไล่กัน และรู้สึกถึงการสัมผัสที่ประหลาด คล้ายผีมาแตะต้องตัวอีกด้วย


- ผีอำ

ผีอำ ตามความเชื่อทางไสยศาสตร์นั้น เกิดจากการที่เรานอนทับที่ทับทาง หรือเป็นการหยอกล้อของเจ้าที่เจ้าทาง ผีบ้านผีเรือน ผู้ที่ตกอยู่ในอาการผีอำ จะรู้สึกเหมือนร่างกายเป็นอัมพาตทั้งตัวแบบเฉียบพลัน รู้สึกหมดแรง ไม่สามารถขยับแขนขาได้ พูดไม่ได้ รวมไปถึงมีอาการหายใจลำบาก รู้สึกเหมือนมีคนมาทับ บางคนอาจฝันร้าย เห็นภาพหลอน ได้ยินเสียงปริศนา โดยส่วนใหญ่เกิดขึ้นในช่วงที่กำลังจะหลับ หรือกำลังจะตื่น สำหรับวิธีแก้ผีอำในเชิงไสยศาสตร์นั้น มีหลายวิธี ไม่ว่าจะเป็นการขอร้อง แช่งผี สวดมนตร์ หรือแผ่เมตตา


ในทางวิทยาศาสตร์นั้น อาการผีอำไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับผีแต่อย่างใด แต่เป็นอาการที่เรียกว่า Sleep Paralysis ถ้าแปลตรงตัว ก็คืออาการอัมพาตตอนหลับ ที่ร่างกายไม่สามารถขยับตัวได้ ซึ่งมักจะเป็นในสภาพกึ่งหลับกึ่งตื่น ที่เกิดการเปลี่ยนแปลงของร่างกายและจิตใจ


โดยปกติแล้วการนอนหลับของคนเรา จะมี 2 ลักษณะ เริ่มจากการหลับสนิท หรือหลับลึก (Non-Rapid Eye Movement: NREM) สมองตอบสนองต่อสิ่งเร้าช้าลงทำให้ร่างกายผ่อนคลายและพักผ่อนได้เต็มที่ จากนั้นเราก็หลับแบบหลับไม่สนิท (Rapid Eye Movement: REM) มักเป็นช่วงที่เราฝันถึงเรื่องราวต่างๆ เป็นภาวะที่สมองยังคงทำงานอยู่ ตอบสนองต่อสิ่งเร้า หรือกึ่งหลับกึ่งตื่นนั่นเอง ซึ่งเป็นช่วงที่มักจะเกิดภาวะผีอำได้ การนอนหลับของคนเราทั้ง 2 ลักษณะจะเกิดวนไปมา ซึ่งปกติแล้วเราจะไม่สามารถแยกความฝันกับความจริงออกจากกันได้ นั่นจึงทำให้เกิดจินตนาการซ้อนกับความจริง ทำให้คนจินตนาการเป็นภาพลวงตาของภูตผีนั่นเอง


อาการผีอำ มักเกิดจากปัญหาเกี่ยวกับการนอน เช่น นอนน้อย น้อยไม่หลับ เปลี่ยนสถานที่นอน รวมถึง เกิดตะคริวเวลานอน ความเครียด เป็นต้น เป็นอาการที่ไม่รุนแรง แต่เป็นสัญญาณที่ร่างกายต้องการการพักผ่อนที่ดีกว่าเดิม ดังนั้นการแก้ไขสามารถทำได้ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการนอน นอนตรงเวลาและนอนให้เพียงพอ หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน ผ่อนคลายตนเองด้วยการฟังเพลง อ่านหนังสือก่อนเข้านอน เปลี่ยนท่านอนให้นอนตะแคงหรือนอนคว่ำแทนการนอนหงาย เป็นต้น

- ผีเข้า

ผีเข้า อาการที่อยู่ๆ เกิดการเปลี่ยนแปลงทันที มีพฤติกรรมที่แปลกไป ร่างกายชัก เกร็ง กรีดร้อง หรือพูดจาเพ้อเจ้อ โดยทางไสยศาสตร์เชื่อว่า ผู้ที่โดนผีเข้านั้น ถูกของหรือโดนคำสาปแช่งจากผีสาง ซึ่งหากผีเข้าแล้วไม่ยอมออก คนนั้นจะกลายเป็นคนที่มีปัญหาทางจิตหรือจะต้องตายไป ผีเข้าที่เราเห็นโดยทั่วไปมี 2 ลักษณะ คือ ผีเข้าโดยความสมัครใจของผู้ให้เข้า เช่น การทรงเจ้า การเชิญบรรพบุรุษเข้าทรงเพื่อสอบถามเรื่องราวและทำนายอนาคต ในอีกลักษณะ คือ ผีเข้าโดยที่ผู้ให้เข้าไม่ได้สมัครใจ เช่น การเข้าสิงของผีตายโหง ซึ่งผีเข้าลักษณะนี้ เชื่อว่าจะก่อให้เกิดการเจ็บป่วย ฟั่นเฟือน หรือถึงแก่ชีวิตได้ ซึ่งในกรณีนี้ นักวิทยาศาสตร์ได้อธิบายอาการของคนที่ถูกเข้าใจว่าผีเข้า คือ เกิดภาวะสมองอักเสบเนื่องจากภูมิคุ้มกันผิดปกติ เช่น สมองอักเสบจาก Anti-N-methyl D-aspartate (anti-NMDA) หรือสมองอักเสบจากเหตุแพ้ภูมิตัวเอง ที่เกิดจากเชื้อไวรัส โดยจะเริ่มจากอาการไข้ เกิดความสับสน ความจำเสื่อม อาการชัก เห็นภาพหลอน บุคลิกภาพแปลกไปจากเดิม บางคนก้าวร้าว หวาดระแวง กรีดร้อง ตาเหลือก จนในที่สุดมีอาการซึม แน่นิ่งไป โรค anti-NMDA ยังนับว่าเป็นโรคใหม่ แนวทางการรักษาหลักในปัจจุบัน คือ การผ่าตัดเอาเนื้องอกออก ร่วมกับการให้ยากดภูมิคุ้มกัน


โรคลมชัก เป็นอีกโรคที่มักถูกเข้าใจผิดว่าถูกผีเข้าสิง เนื่องจากอาการชักเกร็งกระตุกทั้งตัว หรือบางส่วน ที่ไม่สามารถควบคุมร่างกายได้ โรคลมชักเกิดจากการทำงานของสมองที่ผิดปกติ ทำให้เกิดการส่งสัญญาณสมองที่ผิดปกติออกไป หรือกระแสไฟฟ้าในสมองลัดวงจรนั่นเอง


อาการชักที่มักพบได้บ่อยจะแบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่ คือ

>>ชักทั้งตัว (Generalized seizures) เกิดจากการส่งสัญญาณคลื่นไฟฟ้าจากส่วนลึกของสมองผิดปกติ กระจายไปทั่วสมอง อาการที่เกิดขึ้นมีหลากหลายรูปแบบตามประเภทของการชัก เช่น เกร็ง กระตุก เหม่อลอย สูญเสียการตึงตัวของกล้ามเนื้อทันทีและล้มลงโดยไม่มีการเกร็งกระตุก ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักมีอาการเกร็งกระตุกหมดสติทันทีทันใด หยุดหายใจชั่วขณะ ในผู้ป่วยที่มีอายุน้อยอาจแสดงอาการเหม่อลอยเป็นพักๆ ไม่มีอาการเกร็งกระตุกหรือหมดสติ ซึ่งเป็นอาการชักอีกรูปแบบแบบหนึ่งและมีอาการไม่กี่วินาที


>>ชักเฉพาะที่ (Partial seizures/Focal seizures) เกิดจากจุดกำเนิดสัญญาณคลื่นไฟฟ้าที่ผิดปกติเฉพาะบริเวณ จากเนื้อสมองไม่ใช่แกนสมอง อาการชักที่เกิดจะแตกต่างกันขึ้นอยู่กับตำแหน่งของสัญญาณคลื่นไฟฟ้าที่ผิดปกติบนผิวสมอง เช่น กระตุกใบหน้า มุมปาก แขนหรือขา รวมถึง การเห็นภาพหลอน เห็นแสงสว่างหรือเห็นเป็นรูปร่าง หูแว่ว เป็นต้น




- ผีถ้วยแก้ว

ผีถ้วยแก้ว กิจกรรมที่หลายคนน่าจะเคยเล่นในวัยเด็ก ที่เชื่อว่าผีหรือวิญญาณสามารถบอกเรื่องราวในอดีตหรือสามารถทำนายอนาคตได้ ผีถ้วยแก้ว หรือเรียกว่า Ouija board หรือ Spirit board เป็นกิจกรรมที่มีมานานทั้งในไทย จีน สหรัฐฯ และประเทศทางตะวันตกหลายประเทศ โดยรูปแบบของการเล่นผีถ้วยแก้วจะความคล้ายคลึงกัน ประกอบด้วย กระดาษที่มีตัวอักษรและตัวเลข แก้วหรือถ้วยที่จะอัญเชิญผีเข้ามาสิง และในระหว่างที่มีการเล่น ห้ามยกนิ้วออกเพราะจะถือว่าไม่เคารพวิญญาณ หรืออาจถูกวิญญาณเข้าสิงได้


ถ้วยเคลื่อนที่ไปตามตัวอักษร หรือตัวเลขได้อย่างไร เราไม่ใช่คนที่ขยับถ้วย และทุกคนที่เล่นก็มีความรู้สึกแบบเดียวกัน แล้วใครทำ? ผี? ซึ่งในเชิงวิทยาศาสตร์ การเคลื่อนที่ของผีถ้วยแก้วมาจากจิตใต้สำนึกของผู้เล่น ซึ่งผู้เล่นนั่นเองที่เป็นคนเคลื่อนถ้วยโดยไม่รู้ตัว เป็นผลของความคิดของเรา ที่คุยกับตัวเราเอง ที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า Ideomotor action เป็นการเคลื่อนไหวของร่างกายที่สมองสั่งโดยที่เราไม่รู้สึกตัว หรือเป็นการเคลื่อนไหวโดยเราไม่ได้พยายามเคลื่อนไหว ที่สามารถเกิดขึ้นได้ทั้งเวลาที่เราหลับหรือตื่น เช่น อาการผวาตกจากที่สูง หรือกระตุกอย่างกะทันหันขณะที่นอนหลับ (Hypnic jerk) แต่ทั้งนี้ ในช่วงที่เราตื่นผลจาก Ideomotor action จะน้อยลงกว่ามาก


ในกรณีของการเล่นผีถ้วยแก้ว สมองของเราอาจสร้างภาพและความทรงจำโดยไม่รู้ตัว เมื่อเกมส์เริ่มต้นขึ้น มีการถามคำถาม ร่างกายจะเริ่มมีการตอบสนองโดยที่เราไม่ได้บอกให้ทำ สมองสั่งให้กล้ามเนื้อมือและแขนขยับ ชี้ไปยังคำตอบโดยไม่รู้ตัว ซึ่งมีการศึกษาทางวิทยาศาสตร์หลายครั้งเกี่ยวกับการเล่นผีถ้วยแก้ว เช่น การให้ผู้ร่วมเล่นปิดตา ผลที่สังเกตได้คือ การสะกดคำหรือข้อความที่ได้นั้น จะไม่ปะติดปะต่อ ซึ่งหากมีผีหรือวิญญาณอยู่ในห้องจริงๆ ควรจะสะกดหรือส่งข้อความที่สอดคล้องกันได้ แต่หากไม่มีผีหรือวิญญาณตรงนั้นจริงๆ จึงสันนิษฐานได้ว่าเป็นเพียงการขยับนิ้วของผู้เล่น


ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา นักวิทยาศาสตร์ได้มีการทดสอบเกี่ยวกับ Ideomotor action ที่เชื่อว่าเชื่อมโยงอย่างใกล้ชิดกับจิตใต้สำนึก โดยผล Ideomotor action จะอยู่ในระดับสูง เมื่อคนเราเชื่อว่า เราไม่สามารถควบคุมการเคลื่อนไหวได้ ยิ่งคนเราคิดว่าควบคุมได้น้อยเท่าไร จิตใต้สำนึกของเราก็ยิ่งออกแรงมากขึ้นเท่านั้น เมื่อเล่นรวมกลุ่มกันหลายคน จิตใต้สำนึกของเราแต่ละคนมีอิสระในการเคลื่อนไหวถ้วยและสร้างคำตอบที่น่าขนลุกด้วยกัน


นอกจากนี้ วารสารวิทยาศาสตร์ Phenomenology and the Cognitive Sciences ได้มีการตีพิมพ์เกี่ยวกับการศึกษาผีถ้วยแก้ว โดยในการศึกษานั้น ใช้ Planchette ที่เป็นกระดานขนาดเล็กรูปหัวใจ มีล้อเลื่อน ผู้ที่เข้าร่วมการทดสอบจะต้องใส่อุปกรณ์ติดตามการมอง เพื่อดูการเคลื่อนที่ของดวงตาผู้เล่น ผู้เล่นจะนั่งเล่นเป็นคู่และต้องทำ 2 อย่าง คือ (1) สะกดคำว่า Baltimore และ (2) ถามคำถามทั่วไป เมื่อเริ่มเล่น ก็เป็นไปตามที่นักวิทยาศาสตร์คาดการณ์ไว้คือ สำหรับข้อแรก การเคลื่อนที่ของ Planchette เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยผู้เล่นมองตัวอักษรตัวต่อไปก่อนที่จะมีการเคลื่อนที่ของ Planchette หรืออีกนัยหนึ่งคือ ผู้เล่นคาดการณ์ได้ว่า Planchette จะขยับและจบลงที่ตัวอักษรใด ทั้งนี้ ในส่วนของคำถามข้อ (2) การคาดเดาการเคลื่อนที่ไปแต่ละตัวอักษรยากมากขึ้น ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ได้พิจารณาจากการเคลื่อนไหวของดวงตาของผู้เล่นทั้งคู่พร้อมๆ กัน โดยอักษร 1 - 3 ตัวแรกเกิดขึ้นแบบสุ่ม การเคลื่อนไหวของดวงตาเป็นแบบไร้ทิศทาง หลังจากนั้น เมื่อผู้เล่นเริ่มเห็นตัวอักษรปรากฏมากขึ้น ซึ่งเหมือนกับการใบ้คำ ผู้เล่นจะเริ่มทายเป็นคำที่เหมือนกัน ดวงตาของผู้เล่นจะเริ่มมองตัวอักษรตัวถัดไป การเคลื่อนไหวของดวงตามีทิศทางมากขึ้น เช่นเดียวกับการทดสอบในข้อแรก ซึ่งเป็นผลของความคิดส่วนหนึ่งของสมองเรา ที่เราเองไม่รู้ตัว


- แสงสว่างสีขาวที่ปลายอุโมงค์--ประสบการณ์ใกล้ตาย (Near-death experiences)

คนเราพยายามหาคำตอบว่าเกิดอะไรขึ้นในช่วงที่คนเราใกล้ตาย เช่นเดียวกับคำถามว่า เกิดอะไรขึ้นหลังจากที่คนเราตายไป ที่เป็นคำถามที่ยากต่อการพิสูจน์ สำหรับผู้ที่เคยมีประสบการณ์ตายแล้วฟื้นกลับขึ้นมา ได้มีการพูดถึงประสบการณ์ใกล้ตาย เช่น เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ หรือการได้กลับมาพบกับญาติหรือสัตว์เลี้ยงอันเป็นที่รัก วิญญาณออกจากร่าง หรือการเดินทางไปมิติอื่น โดยบางเชื้อชาติ ศาสนา และวัฒนธรรม คนมีประสบการณ์ใกล้ตายแตกต่างกัน เช่น อินเดียจำนวนมากอ้างว่าได้พบกับ Yamraj ราชาแห่งความตาย ชาวอเมริกันอ้างว่าได้พบกับพระเยซู เด็กๆ มักอธิบายว่า ได้พบปะเพื่อนฝูงและครูในแสงสว่าง ซึ่งโดยส่วนใหญ่พบว่าประสบการณ์ใกล้ตายจะเป็นไปในเชิงบวก แต่ก็มีบางกรณีที่พบว่า ประสบการณ์ใกล้ตายเป็นไปในเชิงลบ เช่น ขาดการควบคุม จินตภาพสิ่งชั่วร้าย


ประสบการณ์ใกล้ตาย โดยปกติจะเกิดขึ้นกับคนใกล้ตายหรืออยู่ในสถานการณ์ที่มีอาการปวดทางร่างกายหรืออารมณ์อย่างรุนแรง อาจเกิดขึ้นหลังจากหัวใจวายหรืออาการบาดเจ็บที่สมอง หรือแม้แต่ระหว่างการทำสมาธิและเป็นลมหมดสติไป (หมดสติเนื่องจากความดันโลหิตลดลง) ซึ่งเป็นเหตุการณ์ทางจิตวิทยาที่ลึกซึ้ง มีองค์ประกอบลึกลับซับซ้อน นักวิทยาศาสตร์ได้มีอธิบายสาเหตุของประสบการณ์ใกล้ตายไว้หลายทฤษฎี เช่น


>>ความเสียหายที่เกิดขึ้นที่สมองกลีบขมับ (temporal lobes) เป็นสมองที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการประมวลผลข้อมูลทางประสาทสัมผัสและความจำ ดังนั้นเมื่อเกิดความผิดปกติในสมองส่วนนี้ ก็จะก่อให้เกิดความรู้สึกและการรับรู้ที่แปลกประหลาด โดยนักประสาทวิทยาได้เสนอประสบการณ์ใกล้ตาย 2 ประเภท คือ (1) ความเสียหายที่เกิดขึ้นกับสมองซีกซ้าย ก่อให้เกิดความรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงของเวลา และจิตหลุดออกร่าง ความรู้สึกเหมือนลอยได้ และ (2) ความเสียหายที่เกิดขึ้นกับสมองซีกขวา ทำให้เกิดความรู้สึกถึงการมีอยู่ของผู้อื่นหรือสิ่งอื่น และการได้ยินเสียง การมองเห็นแสงสว่างรอบตัวเอง รวมถึง การสื่อสารกับวิญญาณด้วย


>>ภาวะสมองขาดออกซิเจน ซึ่งเคยพบกรณีตัวอย่างในนักบินที่หมดสติในระหว่างที่มีการเร่งความเร็วอย่างรวดเร็ว โดยอธิบายลักษณะที่คล้ายกับประสบการณ์ใกล้ตาย เช่น การมองเห็นในอุโมงค์ การขาดออกซิเจนอาจทำให้เกิดอาการชักของกลีบขมับ ที่สามารถทำให้เกิดภาพหลอนได้เช่นกัน


>>ความดันเลือดที่ไปเลี้ยงระบบการมองเห็นลดลงอย่างกระทันหัน ทำให้สูญเสียการมองเห็นชั่วคราว รูม่านตาหดตัว ทำให้มีโอกาสเห็นภาพบิดเบี้ยว การมองเห็นรอบข้างแคบลงและเห็นแสงสว่างเพียงจุดเดียวอยู่เบื้องหน้า จึงเห็นเป็นลักษณะคล้ายอุโมงค์


>>ความเครียดที่เกิดขึ้นก่อนความตาย ทำให้เกิดการรำลึกถึงการเกิดอีกครั้ง เห็นเป็นอุโมงค์ที่มีแสงสว่าง รวมถึง การที่สมองหลั่งสารเอ็นดอร์ฟินออกมาระหว่างเหตุการณ์ที่ตึงเครียด เพื่อลดความเจ็บปวดและให้เกิดการผ่อนคลาย


ถึงแม้ว่า ยังไม่มีคำอธิบายที่แน่ชัดเกี่ยวกับประสบการณ์ใกล้ตายประเภทต่างๆ นักวิทยาศาสตร์ยังคงพยายามทำความเข้าใจเกี่ยวกับปรากฏการณ์ลี้ลับ ไม่ว่าจะเกี่ยวข้องกับอาถรรพณ์หรือไม่ก็ตาม ก็เชื่อว่าประสบการณ์ใกล้ตายที่เกิดขึ้น น่าจะมีความสำคัญและมีความหมายซ่อนอยู่


- เปิดประตูสู่โลกวิญญาณ

จากความเชื่อในอดีต หมอผีเป็นบุคคลมีพลังเหนือธรรมชาติ หรือมีตาที่สาม ที่สามารถติดต่อกับโลกวิญญาณ สิ่งลี้ลับ ทั้งภูตผีวิญญาณ บรรพบุรุษ และเทพ หรือเรียกได้ว่าเป็นกุญแจไขประตูสู่อาณาจักรเหนือธรรมชาติก็ว่าได้


ในพิธีกรรมทางจิตวิญญาณของชนเผ่าทางอเมริกาใต้ ได้มีการดื่ม Ayahuasca (หรือ Vine of the soul หรือแปลเป็นไทยได้ว่า เถาวัลย์แห่งวิญญาณ) ที่เป็นเครื่องดื่มที่เชื่อว่าเปิดตาที่สาม หรือทำให้สื่อสารกับโลกวิญญาณได้ ซึ่งนักวิทยาศาสตร์พบว่า เครื่องดื่ม Ayahuasca มีสาร Dimethyltryptamine (DMT) หรือเรียกอีกชื่อว่า The Spirit Molecule โดยสารนี้สามารถพบในพืชหลายชนิดในธรรมชาติ ที่มีผลต่อระบบประสาทและสมองของคนเรา สามารถสร้างภาพหลอนและการได้ยิน รูม่านตาขยาย อัตราการเต้นของหัวใจและความดันโลหิตเพิ่มขึ้น อาการวิงเวียนศีรษะ คลื่นไส้ และเกิดความหวาดระแวง เมื่อได้รับ DMT ในปริมาณที่สูง จะทำให้ไม่รู้สึกตัว มีอาการหนาวสั่น ท้องเสีย หรืออาจมีอาการรุนแรง เช่น กล้ามเนื้อแข็งเกร็ง มีไข้ ชัก หัวใจเต้นผิดปกติ และเสียชีวิตได้ โดยหากใช้ DMT เพียงอย่างเดียว ทำให้เกิดปฏิกิริยานานตั้งแต่ 5 - 45 นาที แต่การผสมในเครื่องดื่ม Ayahuasca ปฏิกิริยาสามารถเกิดขึ้นได้ 3 - 4 ชั่วโมง


นอกจากนี้ นักวิทยาศาสตร์ยังพบว่า สมองของคนเราผลิตสาร DMT ได้ และในช่วงที่เราหลับลึกจะเป็นช่วงที่มีการผลิตมากที่สุด ทำให้เกิดเป็นจินตนาการในความฝัน หรือการใช้น้ำมันหอมระเหยก็สามารถกระตุ้นให้ร่างกายผลิต DMT ได้เช่นกัน สาร DMT ทำให้เกิดภาพหลอน เคลิบเคลิ้ม แต่ความสัมพันธ์ที่ทำให้วิญญาณออกจากร่างเดินทางไปอีกมิติ หรือเกิดประสบการณ์ใกล้ตายนั้น ยังเป็นเรื่องถกเถียงว่าเป็นเรื่องจริงหรือเพียงภาพหลอน


ทั้งนี้ ทั้งหมดทั้งมวนของผลการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ หรือตรวจจับผีด้วยเทคโนโลยีต่างๆ ทั้งบันทึกในภาพถ่าย ภาพยนตร์ วิดีโอ หรือเสียงที่มีมานั้น ผียังเป็นเรื่องที่ยังไม่สามารถให้คำอธิบายได้อย่างชัดเจน แต่เชื่อว่าในท้ายที่สุด ไม่ว่าจะนักวิทยาศาสตร์ หรือนักล่าผีทั้งหลาย จะคิดอย่างไรก็ไม่สำคัญ หากผีมีอยู่จริงบนโลกของเราและเป็นพลังงานบางอย่างที่คนเรายังไม่รู้จัก การมีอยู่ของสิ่งลี้ลับเหนือธรรมชาตินี้ เชื่อว่าก็จะเหมือนกันการค้นพบทางวิทยาศาสตร์อื่นๆ ไม่ช้าก็เร็วจะถูกค้นพบและตรวจสอบโดยนักวิทยาศาสตร์ผ่านการทดลองที่มีการควบคุม เทคโนโลยีเหมาะสมในการค้นหาหรือตรวจจับโลกแห่งวิญญาณ ที่จะสามารถอธิบายและมีหลักฐานประกอบเพียงพอที่จะอ้างว่าผีนั้นมีอยู่จริง



 

ที่มา:



bottom of page